Back to News
AI News

Stanford เปิดตัว ChatEHR: AI ผู้ช่วยแพทย์ สรุปข้อมูลผู้ป่วยได้ในพริบตา

ลดภาระงานเอกสาร เพิ่มเวลาให้บุคลากรทางการแพทย์ได้ดูแลผู้ป่วยอย่างเต็มที่

Tiger's avatar
Tiger
Admin
June 25, 2025
AI Healthcare

หลายคนอาจคิดว่า AI เป็นเรื่องไกลตัว แต่ในความเป็นจริง AI ได้เข้ามามีบทบาทในวงการแพทย์มาระยะหนึ่งแล้ว และกำลังช่วยให้การทำงานของบุคลากรทางการแพทย์รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อการดูแลผู้ป่วยที่ดีกว่าเดิม

ล่าสุด Stanford Health Care ได้พัฒนา AI ที่น่าจับตามองอย่าง "ChatEHR" ซึ่งอาจจะเข้ามาเปลี่ยนวิธีการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ไปอย่างสิ้นเชิงครับ


ChatEHR คืออะไร?

ลองจินตนาการว่าเราสามารถ "พูดคุย" กับประวัติสุขภาพของผู้ป่วยได้เหมือนคุยกับ ChatGPT ตอนนี้สิ่งนี้เกิดขึ้นจริงแล้ว ChatEHR คือเครื่องมือที่ช่วยให้แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์สามารถ "สอบถาม" ข้อมูลจากเวชระเบียนของผู้ป่วยด้วยภาษาพูดตามธรรมชาติได้ทันที โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล


ลดเวลา ลดภาระ และลดความเหนื่อยล้า

โดยเฉลี่ยแล้ว แพทย์อาจต้องใช้เวลาถึง 60% ไปกับงานธุรการ แทนที่จะได้ดูแลผู้ป่วยโดยตรง และบ่อยครั้งยังต้องใช้เวลานอกเวลางาน หรือที่เรียกว่า "pajama time" เพื่อจัดการงานเอกสารที่คั่งค้าง ChatEHR ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ

1. เรียกดูข้อมูลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น: ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่ทุกวินาทีมีค่า แพทย์สามารถลดเวลาในการตรวจสอบเวชระเบียนลงได้ถึง 40% ซึ่งหมายถึงผู้ป่วยจะได้รับการดูแลที่รวดเร็วและแม่นยำขึ้น
2.สรุปข้อมูลที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่าย: ChatEHR สามารถสังเคราะห์ข้อมูลจากประวัติทางการแพทย์ที่ซับซ้อนให้เป็นระเบียบ ทำให้การสรุปข้อมูลเพื่อส่งต่อผู้ป่วยหรือการทบทวนประวัติทำได้ง่ายขึ้นมาก
3. ลดภาวะหมดไฟของบุคลากรทางการแพทย์: เมื่อภาระงานเอกสารลดลง แพทย์จะมีเวลาในการดูแลผู้ป่วยแบบตัวต่อตัวมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างยิ่ง AI ที่เข้ามาช่วยงานธุรการเหล่านี้จะช่วยลดความเหนื่อยล้าทางความคิด นอกจากนี้ ข้อความที่ใช้สื่อสารกับผู้ป่วยยังเป็นมิตรมากขึ้น เพราะผู้ใช้สามารถสั่งให้โมเดลปรับใช้ภาษาที่เหมาะสมได้


AI ไม่ได้มาแทนที่ แต่มาเพื่อเสริมพลัง

สิ่งสำคัญคือ ChatEHR ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแทนที่แพทย์ แต่เป็นการ "เตรียมข้อมูล" และ "สร้างคำแนะนำ" เพื่อให้ทีมแพทย์นำไปใช้ในการดูแลผู้ป่วยได้ดียิ่งขึ้น เช่น ในกรณีผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องอาศัยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายสาขาในการวางแผนการรักษา AI สามารถสรุปข้อมูลจากเวชระเบียน, ภาพถ่าย, ผลทางพยาธิวิทยา, ข้อมูลพันธุกรรม และข้อมูลการทดลองทางคลินิก เพื่อให้ทีมแพทย์มีข้อมูลที่ครบถ้วนในการตัดสินใจ

ศาสตราจารย์ Michael A. Pfeffer, CIO ของ Stanford Health Care และ School of Medicine, เน้นย้ำว่า "เทคโนโลยีเหล่านี้จะเปลี่ยนเวลาที่แพทย์และพยาบาลใช้ไปกับงานธุรการ" และเมื่อทำงานร่วมกับ AI ที่ช่วยจดบันทึก (ambient AI scribes) บุคลากรทางการแพทย์จะสามารถมุ่งเน้นไปที่การดูแลผู้ป่วยได้มากขึ้น ทำให้ "การมีปฏิสัมพันธ์แบบตัวต่อตัวนั้นประเมินค่าไม่ได้"


เบื้องหลังการพัฒนา AI ของ Stanford

ก่อนที่จะมี ChatEHR, Stanford ได้เปิดตัว SecureGPT ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ปลอดภัยสำหรับทดลองใช้โมเดล AI กว่า 15 แบบ Michael A. Pfeffer อธิบายว่า "สิ่งที่ทรงพลังอย่างแท้จริงเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้คือ คุณสามารถเปิดโอกาสให้ผู้คนจำนวนมากได้ทดลองใช้" Stanford ใช้วิธีการพัฒนา AI ที่หลากหลาย ทั้งการสร้างโมเดลของตัวเองและการใช้โมเดลสำเร็จรูปที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัว รวมถึงโมเดล Open-source ที่เหมาะสม โดยจะเลือกใช้เครื่องมือที่ดีที่สุดสำหรับแต่ละกรณีการใช้งาน

สิ่งที่น่าสนใจคือทีมงานของ Stanford เป็นทีมแบบสหสาขาวิชาชีพ ซึ่งประกอบด้วยหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ข้อมูล, นักสารสนเทศ, หัวหน้าเจ้าหน้าที่ข้อมูลทางการแพทย์, หัวหน้าเจ้าหน้าที่ข้อมูลการพยาบาล, CTO และ CISO ซึ่ง Pfeffer กล่าวว่า "เรานำสารสนเทศ, วิทยาศาสตร์ข้อมูล และ IT แบบดั้งเดิมมารวมกัน... สิ่งที่คุณได้คือกลุ่มมหัศจรรย์ที่ช่วยให้คุณสามารถทำโครงการที่ซับซ้อนเหล่านี้ได้"

โดยสรุปแล้ว Stanford มองว่า AI เป็นเครื่องมือที่ "ทุกคนควรจะรู้วิธีใช้" Pfeffer เน้นย้ำว่าทีมงานจำเป็นต้องเข้าใจวิธีใช้ AI เพื่อที่ว่า "AI ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของวิธีคิดของพวกเขา" ในการแก้ปัญหาทางธุรกิจ

นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่า AI สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับชีวิตของเราได้อย่างมหาศาล โดยเฉพาะในด้านที่สำคัญอย่างสาธารณสุขนั่นเองครับ

ที่มา: https://venturebeat.com/ai/stanfords-chatehr-allows-clinicians-to-query-patient-medical-records-using-natural-language-without-compromising-patient-data/